อาณาจักรฟูนัน
(
พุทธศตวรรษที่ ๖–๑๑)
อาณาจักรที่ชาวจีนเรียกว่า อาณาจักรฟูนัน น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า พนม
หมายถึงภูเขา ซึ่งมีความหมายว่า ราชาแห่งขุนเขา เนื่องจากอาณาจักรนี้สร้างขึ้นทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีนนั้นตั้งอยู่บนภูเขา
เป็นการสร้างเมืองขึ้นตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูลัทธิไศวะนิกายและไวณพนิกายที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย จึงสร้างเมืองบนไว้ภูเขาวิหารจำลอง อาณาจักรฟูนัน (Funan) ในระยะแรกคงยังไม่มีระบบที่เป็นรัฐแบบแผนมากนัก จนกระทั่งต่อมาในพุทธศตวรรษที่
๑๐ นั้น พราหมณ์โกญธัญญะจากอินเดียได้เดินทางมาครองอาณาจักรแห่งนี้
ได้สร้างแบบแผนของราชสำนักตามอย่างอินเดีย ซึ่งมีตำนานเล่าถึงราชวงศ์ฟูนันไว้ว่า
ราชวงศ์ฟูนันนั้นเกิดจากพราหมณ์คนหนึ่งสมสู่กับนางนาค ซึ่งเป็นพระธิดาของพญานาค ที่มีอิทธิพลเหนือดินแดน แห่งลุ่มน้ำแม่โขง และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา พราหมณ์ต่อมาก็สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์นามว่า
พระเจ้าโกณฑิณยะชัยวรมัน โดยพราหมณ์โกณธิญญะ
ซึ่งมีเชื้อสายจากอินเดีย ได้มีมเหสีคือ "นางพญาขอม"ซึ่งเป็นเจ้าหญิงชาวพื้นเมือง ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชนชาติพื้นเมือง
ราชวงศ์นี้ได้มีกษัตริย์ครองอาณาจักรฟูนันต่อมาจนถึง พ.ศ. ๑๑๐๐ มีพระนามกษัตริย์ที่ปรากฏชื่อพระองค์สุดท้ายคือ พระเจ้ารุทรวรมัน เมืองหลวงของอาณาจักรฟูนัน
นั้น บางระยะ คือ นอ-กอร กก-ทะโหลก
ซึ่งหมายถึง เมืองพระนครที่ตั้งอยู่บนขุนเขาและต้นไม้สูงนั่นเอง บางระยะคือ วยาธปุระ อันหมายถึงเมืองของนายพราน
นอกจากนั้นแนวคิดบางอย่างก็ได้รับอิทธิพลมีความเชื่อในเรื่อง พญานาค
"นาค "คำนี้หากความเชื่อตามตำนานต้องถือว่าเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์
เป็นตัวแทนความเชื่อของชาวฟูนันที่ยึดเอาเป็นสัญลักษณ์ประจำของชนเผ่า นับถือนาคนับถืองูเช่นเดียวกับอียิปต์หรืออินเดีย ความเชื่อนี้เกิดจากพื้นฐานของแหล่งที่อยู่อาศัย
เช่นมีความเชื่อว่าแม่น้ำโขงเกิดจากรอยพญานาค ดังนั้นน้ำและถ้ำใหญ่ใต้น้ำหรือบนขุนเขาจึงเป็นถิ่นที่อยู่ของพญานาค ผู้นับถือนิยมที่จะสักลายตามผิวหนังด้วยรูปนาคและงู มีพิธีกรรมสำหรับบูชาพญานาคเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข
ดังนั้นอิทธิฤทธิ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บหรือถูกงูกัด
ถือว่าเป็นการลงโทษของพญานาค
ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ปัจจุบันยังมีหลงเหลืออยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง เช่นมีความเชื่อว่า ทุกปีพญานาคจะพ่นบ้องไฟขึ้นเหนือแม่น้ำโขง เป็นต้น
หากวิเคราะห์เอาว่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงหรือทะเลสาบ
เป็นผู้ที่อยู่กับน้ำซึ่งเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว การอาศัยสิ่งที่อยู่ในน้ำเพื่อใช้อุปโภคบริโภคจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เรียกกลุ่มคนริมน้ำว่า มนุษย์นาคา
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการหาปลาจับสัตว์น้ำและใช้เรือสำหรับเดินทางไปมาในแม่น้ำ
จนมีการสร้างเรือยาวที่มีหัวพญานาคหรือเรือมังกรขึ้นในดินแดนที่อยู่ริมแม่น้ำ ก็พอจะมองเห็นภาพของชุมชนริมน้ำและชุมชนบนภูเขา
ที่มีความเชี่ยวชาญในการเข้าป่าล่าสัตว์
นับถือขุนเขาและสิ่งลึกลับที่เกิดขึ้นในป่าเขา
โดยเชื่อว่าอันตรายที่เกิดขึ้นจากสัตว์ป่าและไข้ป่านั้นเป็นการลงโทษของเจ้าป่าเจ้าเขา หากจะเหมาเอาว่าเป็นยักษ์มารอะไรก็ไม่ผิดอะไร
ดังนั้นการตั้งบ้านเมืองจึงขึ้นอยู่ว่าผู้นำหรือกษัตริย์ของตนนั้นมีความเชื่อหรือนับถือเอาอะไรเป็นหลัก
ฝ่ายนาคาหรือเจ้าป่าเจ้าเขา
หรือได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากศาสนาใดก็จะพากันตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองตามคติความเชื่ออนั้น
ดังนั้นเราพอจะลงความเห็นได้ว่าดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบันนี้
เดิมนั้นเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนันเดิม
เนื่องจากได้พบหลักฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย คือทับหลังหินทรายแกะสลัก
ยุคไพรกะเม็ง (พ.ศ. ๑๑๘๐–๑๒๕๐ สมัยเจนละ
ยุคก่อนสร้างนครวัด นครธมในเขมร) ทับหลังยุคปาปวน (พ.ศ.๑๕๖๐–๑๖๓๐) และศิลาจารึกขอมสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒
นับเป็นหลักฐานศิลปโบราณที่เก่าแก่ที่สุด
หลักฐานสำคัญเหล่านี้พบที่
วัดทองทั่ว-ไชยชุมพล
ตำบลพะเนียด อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี(จันทบุรี
นั้นเดิมชื่อ จันทบูนหรือจันทรบูรณ์ มีข้อสันนิษฐานว่า จันทบูรณ์น่าจะเป็นคำที่มาจากภาษาเขมรว่า
“เจือนตะโบง แปลว่า ชั้นที่อยู่ทางทิศใต้
หมายถึงเมืองที่อยู่ทิศใต้ของอาณาจักร) นอกจากนี้ยังพบจารึกวัดทองทั่ว
เป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต แปลได้ความว่า
การจารึกข้อความบนศิลานั้นเป็นอารยธรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของอาณาจักรฟูนัน เมื่อประมาณ๑,๓๐๐ปี
มาแล้ว เป็นความนิยมจารึกเรื่องราวไว้บนศิลา เช่นเดียวกับการสลักรูปภาพต่างๆบนหินและแกะสลักลวดลายศิลปะต่างๆไว้ประกอบในการสร้างปราสาทหินที่มีอยู่มากมายในดินแดนภาคอีสาน
นักประวัติศาสตร์บางคนมีความเห็นว่า
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗-๙ เมื่อราว พ.ศ.๖๔๓ ถึงพ.ศ.๑๐๔๓ นั้น บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้น น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนันด้วย
โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน โดยอาณาจักรฟูนัน (Funan)
ได้ถูกตั้งขึ้นและเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ ที่เชื่อกันว่า ศูนย์กลางของอาณาจักรแห่งนี้น่าจะตั้งอยู่ที่ เมืองวยาธปุระ
แถบเมืองเปรเวงในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน โดยมีเมืองออกแก้วหรือออกแอว
ในประเทศเวียดนาม เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล
ตั้งอยู่ตรงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน
คำว่า”ฟูนัน” นี้
น่าจะมาจากภาษาจีนที่แปลว่า ภูเขา โดยออกเสียงเป็นภาษาขอมได้ว่า "พนม"
อาณาจักรฟูนันนี้ได้รับเอาวัฒนธรรมฮินดูจากอินเดียมาใช้ในสังคมและเป็นชนชาติที่เป็นบรรพบุรุษของเขมรปัจจุบัน
แต่เรื่องนี้ศาสตราจารย์ชอง
เซลิเยร์
นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส กลับมีความเห็นว่า
เมืองสำคัญของอาณาจักรฟูนันนั้น น่าจะอยู่บริเวณเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื่องจากได้มีการค้นพบโบราณวัตถุสมัยฟูนัน เช่น
ลูกปัด ดินเผา และสำริด เป็นจำนวนมากที่เมืองอู่ทอง
แต่ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าเมืองหลวงของฟูนัน น่าจะมีการเคลื่อนย้ายตามหัวหน้าใหญ่ ที่ถูกยกย่องขึ้นมาในแต่ละระยะ เพราะผู้นำหรือกษัตริย์ของฟูนัน ไม่ได้การสืบสันติวงศ์ ดังที่ได้มีการค้นคว้าเรื่องนี้ไว้
ในประวัติศาสตร์โบราณคดีของเขมร
ได้เขียนไว้ว่า
ฟูนัน คืออาณาจักรเขมรยุคแรก เริ่มเมื่อเจ้าชายจากอินเดียชื่อ “โกญทัญญะ”(จีนว่า โกณฑิยะ) ลงเรือมาถึงอาณาจักรฟูนันแล้ว ได้นางพญาฟูนัน(จีนว่าพระนาง ลิวเย่)เป็นพระชายา (พระชายาผู้นี้น่าจะเป็นเชื้อสายกษัตริย์ในราชวงศ์ของฟูนันมากกว่าจะเรียกเป็นชื่อว่านางพญาฟูนัน)
จึงได้ตั้งอาณาจักรฟูนันขึ้นตามชื่อของราชวงศ์กษัตริย์ฟูนันเดิม
เพราะต่อมานั้นขุนพลฟันซีมัน ได้ขึ้นเป็นผู้ครองอาณาจักรนี้
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๘ ระหว่าง พ.ศ. ๗๖๐–๗๙๕ นั้น
จดหมายเหตุของจีนราชวงศ์ฮั่นได้บันทึกไว้ว่า ราชทูตจีนชื่อ
คังไถ(K’ang T’ai) และจูยิง(Chu Ying) ได้เดินทางมายังดินแดนของอาณาจักรฟูนัน เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมจีน
และได้จดบันทึกไว้ความว่า
“เมืองฟูนันมีความรุ่งเรืองมาก
มีแม่น้ำใหญ่ไหลมาทางตะวันตกผ่ากลางเมือง ชาวอินเดียชื่อโกณฑิยะ
ได้เดินทางโดยเรือมายึดครองดินแดนบริเวณปากแม่น้ำโขง
และได้ประมุขของชาวพื้นเมืองคือพระนางลิวเย่(Liu-ye)เป็นชายา ต่อมาอีกหลายปี ขุนพลฟันซีมัน(Fan Shihman)ได้ขึ้นเป็นเจ้าครองนครฟูนัน ทรงขยายอาณาจักรฟูนัน
ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยสามารถยึดครองอาณาจักร ฉูตูคุณ
จิวจิ และเตียนซุน ” ราชฑูตจีนคังไถ ยังได้กล่าวเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันไว้อีกว่า “ มีกำแพงล้อมรอบเมือง มีพระราชวังและบ้านประชาชน
ประชาชนมีหน้าตาน่าเกลียด ผิวดำ ผมหยิก ไม่สวมเสื้อผ้าและเดินเท้าเปล่า อัธยาศัยใจคอง่าย ๆ ไม่ลักขโมย ปลูกหว่านพืชเพียงปีหนึ่งแต่เก็บเกี่ยวไปได้สามปี ชอบแกะสลักเครื่องประดับ ภาชนะกินอาหารมักทำด้วยเงิน เก็บภาษีเป็นทองคำ เงิน ไข่มุก และเครื่องหอม มีหนังสือ หอจดหมายเหตุ โดยใช้อักษรที่คล้ายอักษรของชนชาติฮู (Hu)”
จดหมายเหตุจีนที่บันทึกไว้ในสมัยสามก๊ก ได้กล่าวถึง
อาณาจักรฟูนัน ไว้ว่า
“ใน พ.ศ. ๗๘๖
อาณาจักรฟูนัน
ได้ส่งคณะทูตมาประเทศจีน
พร้อมกับส่งนักดนตรีและพืชผลในประเทศเป็นเครื่องราชบรรณาการ”
จดหมายเหตุจีนที่บันทึกเมื่อพ.ศ. ๑๐๔๖ มีความว่า “ฟูนันส่งราชทูตไปประเทศจีน”
และจักรพรรดิ์ของจีนได้มีพระราชโองการ ว่า
“พระราชาแห่งรัฐฟูนัน
ทรงพระนามว่า โกณฑิยะชัยวรมัน ประทับอยู่สุดเขตโพ้นทะเล
ราชวงศ์ของพระองค์ได้ทรงปกครองบรรดาประเทศโพ้นทะเลทางใต้
และได้ทรงแสดงความซื่อสัตย์สุจริตด้วยการส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายหลายครั้ง บัดนี้สมควรจะตอบแทนให้ทัดเทียมกันและให้ตำแหน่งอันมีเกียรติยศ คือตำแหน่งขุนพลแห่งภาคสันติใต้ กษัตริย์แห่งฟูนัน"
จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ฉี
สมัยต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ได้กล่าวไว้ว่า
“ประชาชนฟูนันโหดร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
เข้าโจมตีเมืองที่ไม่ยอมอ่อนน้อมและกดขี่ประชาชนลงเป็นทาส มีสินค้าคือ ทอง เงิน ผ้าไหม คนสำคัญใช้ผ้ายกนุ่งเป็นโสร่ง หล่อแหวนและกำไลด้วยทองคำ ใช้ภาชนะทำด้วยเงิน คนจนนุ่งผ้าฝ้ายผืนเดียว ริมทะเลมีกอไผ่ใหญ่
ใช้ใบไผ่สานเป็นหลังคาบ้านเรือนซึ่งยกพื้นสูงเหนือน้ำ ใช้เรือที่มีหัวและท้ายคล้ายปลา พระราชาเสด็จบนหลังช้าง มีการชนไก่ วิธีพิพากษาคดีใช้วิธีโยนไข่ หรือแหวนทองคำ ลงในน้ำเดือดแล้วให้คู่ความหยิบออกมา
หรือเผาโซ่ให้ร้อนแล้วให้คู่ความเดินถือไป ๗ ก้าว ผู้ผิดจะมือพอง
และผู้ถูกจะไม่บาดเจ็บ”
(ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล : ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์
ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐ , รุ่งแสงการพิมพ์, ๒๔๓๕ หน้า ๑๘)
อาณาจักรฟูนันมีความเจริญสูงสุดในพุทธศตวรรษที่
๙ แล้วเริ่มเสื่อมในพุทธศตวรรษที่ ๑๐
ต่อมาอาณาจักรแห่งนี้ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเจนละ(ในเขมร)เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ จากนั้นอาณาจักรฟูนัน ก็สูญหายไป เนื่องจากได้เกิดมีอาณาจักรเจนละและอาณาทวาราวดีขึ้นมาแทนในดินแดนของอาณาจักรฟูนันเดิม
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองออกแก้ว(OC-EO)
ตรงบริเวณปลายแหลมญวน
ซึ่งเชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่เกิดขึ้นในสมัยฟูนันนั้น ได้พบโบราณวัตถุสมัยฟูนัน เช่นถ้วยชาม
เงินตรา พระพุทธรูป และเทวรูป
ส่วนใหญ่เป็นศิลปะอมราวดีจากอินเดีย สำหรับดินแดนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ได้มีการสำรวจพบเงินเหรียญรูปพระอาทิตย์และศิลปวัตถุสมัยฟูนันหลายอย่าง
พบที่แหล่งโบราณสถานคอกช้างดิน อำเภออู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี และที่เมืองจันเสน อำเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์
ซึ่งเป็นหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าดินแดนสุวรรณภูมินั้นเคยได้รับอิทธิพลหรืออยู่ในอาณาจักรฟูนันมาก่อน
เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓
นั้นหลวงจีนอี้จิง ได้ออกเดินทางโดยเรือจากจีนไปสืบพระศาสนาที่อินเดีย
ได้แล่นเรือผ่านบริเวณที่เคยเป็นอาณาจักรฟูนันมาก่อน และบันทึกไว้ว่า
“พราหมณ์ชาวอินเดียได้เคยอพยพมาตั้งถิ่นฐานและแต่งงานกับเจ้าหญิงชนพื้นเมืองเดิม
สถาปนาอาณาจักรฟูนันขึ้น โดยรับอารยธรรมอินเดียอย่างแน่นแฟ้น เช่น การปกครองแบบเทวราชา ในอาณาจักรฟูนันสมัยก่อน พระธรรมทางศาสนาพุทธได้แพร่หลายและขยายออกไป แต่ในปัจจุบัน พระราชาที่โหดร้าย
ได้ทำลายพระธรรมเสียสิ้นและไม่มีพระสงฆ์เหลืออยู่เลย”
เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายเมื่อพุทธศตวรรษที่
๑๑
อาณาจักรเจนละได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาครั้งเมื่ออาณาจักรเจนละมีอิทธิมากขึ้น
จึงได้แผ่อำนาจมาทางอาณาจักรฟูนัน
จึงทำให้เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจเป็นใหญ่ในดินแดนดังกล่าว ในที่สุดอาณาจักรเจนละก็สามารถครอบครองดินแดนแถบนี้ได้
|
แผนที่ อาณาจักรฟูนัน ( Funan )
เรื่องราวของรัฐฟูนาน ทราบจากบันทึกของชาวจีนที่เดินทางมาแถบนี้ ได้เขียนเล่าถึงความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ในชุมชนที่มีระเบียบ มีคุณธรรม มีการปกครองระบอบกษัตริย์ มีเมืองต่าง ๆ มาขึ้นด้วยหลายเมือง มีวัฒนธรรมแท้ ๆ ของตนเอง มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียด้วยกัน และโลกตะวันตก ชนชั้นสูงเป็นพวกมาลาโยโพลีนีเซียน ชาวจีนว่าพวกชนชั้นพื้นเมืองของฟูนันหน้าตาหน้าเกลียด ตัวเล็ก ผมหยิก สันนิฐานว่าน่าจะเป็นพวกเนกริโตและเมลานีเซียน ฟูนานมีประวัติความเป็นมา เริ่มจากการรวมตัวกันของผู้คน เป็นชุมชนเล็กขนาดหมู่บ้าน จากหมู่บ้านพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐ วิธีการพัฒนาจากสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐมีปัจจัยและขั้นตอนหลายประการ
ศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน มีการย้ายตามหัวหน้าเผ่าที่ถูกได้รับการยกย่องให้ขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ บางช่วงก็ตั้งอยู่แถบแม่น้ำโขงตอนใต้หรือที่ราบปากแม่น้ำโขงที่เป็นประเทศกัมพูชา ประชาธิปไตยในปัจจุบัน บางช่วงก็สามารถแผ่อำนาจเข้ามาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนที่เป็นอาณาจักรไทย และภาคใต้ของดินแดนที่เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบันและได้ ขยายอิทธพลไปถึงแหลมมลายูด้วย
เวลาต่อมาได้มีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น พบหลักฐานใหม่ๆ ทำให้เชื่อกันว่าบางระยะฟูนันก็มีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม้นักปราชญ์ทางโบราณคดีชาวต่างประเทศบางคน เช่น ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอลี เยร์ แห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอน ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้แสดงความเห็นว่า ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 7 - 9 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน ประมาณปี พ .ศ. 800 ถึงปลายปี พ.ศ. 900 ฟูนันเจริญสูงสุด มีอิทธิพลเหนืออาณาจักรต่างๆในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และอาณาจักรทางใต้ไปจนถึงปลายแหลมมลายู รวมเป็นเขตอิทธิพลของอาณาจักรฟูนัน และฟูนันยังมีอิทธิพลไปถึงดินแดนทางตอนใต้ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามใน ปัจจุบัน ลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้และยังมีอำนาจเหนืออาณาจักรขอมด้วย
นับตั้งแต้พุทธศตวรรษที่ 11-12 เป็นต้นมา เมืองในเขตลุ่มแม่น้ำใกล้ทะเลหรืออยู่ในเส้นทางผ่านของการเดินเรือระหว่าง อินเดียกับจีน ซึ่งเป็นเมืองท่าที่เกี่ยวข้องกับการค้าขาย ได้สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมกับโลกภายนอก เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ผู้นำของเมืองได้เรียนรู้อารยธรรมอินเดียซึ่งผูกพันกับทั้งศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา โดยได้นำมาปรับให้เข้ากับทัศนคติความเชื่อดั้งเดิมของท้องถิ่น สังคมเมืองจึงพัฒนาขึ้นเป็นแคว้นหรืออาณาจักร มีการจัดรูปแบบการปกครองและระบบสังคมที่รัดกุมขึ้น สามารถสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองโดยเริ่มจาก อาณาจักรทวารวดี เป็นมา ทำให้อำนาจของอาณาจักรฟูนันเริ่มถดถอยลง
ผลจากการขุดค้นที่เมืองจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏว่าพบชุมชนโบราณซึ่งมีอายุประมาณปี พ.ศ.799-983 และผลการสำรวจทางโบราณคดีที่เมืองอู่ทอง อำเภอ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พบเครื่องประดับ แม่พิมพ์ตราประทับเหรียญกษาปณ์ พระพุทธรูปและเทวรูป เป็นต้น นั่นแสดงว่าเมืองอู่ทองมีร่องรอยของวัฒนธรรมแห่งอาณาจักรฟูนันที่เหลือตกทอดมาอยู่
อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือในระยะพุทธศตวรรษ ที่ 12 อาณาจักรเจนละซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฟูนันได้เข้มแข็งมากขึ้นจนสามารถเอาชนะและเข้าแทนที่ฟูนันในอาณาบริเวณภาคอีสาน ลาวตอนใต้ และประเทศกัมพูชาปัจจุบันในที่สุด
การพัฒนาสังคมเผ่ามาเป็นสังคมรัฐ
สังคมดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสังคมเผ่า (Tribal Society) ต่อมาพัฒนาเป็นสังคมรัฐ (Social State) เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมา ตัวอย่าง คือ ฟูนาน เดิมเป็นหมู่บ้าน ต่อมาขยายออกไปเพราะมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงต้องขยายที่เพาะปลูกให้พอกินพอใช้กับจำนวนชุมชนที่ขยายขึ้น ได้พยายามหาเทคโนโลยีการเกษตร มาช่วย เช่น ขุดคูคลองกั้นน้ำ เพื่อให้อยู่ดีและมีอาหารพอเพียงต่อมาเริ่มมีโครงร่างของสังคมดีขึ้น จึงพัฒนามาเป็นรัฐ เหตุที่ฟูนานพัฒนาเป็นรัฐได้นั้น มีผู้แสดงความเห็นไว้ เช่น เคนเนธ อาร์ ฮอลล์ กล่าวว่า เป็นเพราะฟูนานมีการพัฒนาในเรื่องการเพาะปลูกอย่างมาก และที่สำคัญอีก คือ ฟูนานมีเมืองท่าที่ เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล พร้อมทั้งได้ยกข้อคิดเห็นของ โอ.ดับบลิว.โวลเดอร์ (O.W.Wolter) ที่กล่าวถึงการพัฒนาการจากสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐว่า เป็นเพราะลักษณะทางการค้า และสภาพภูมิศาสตร์เอื้ออำนวย โดยเฉพาะที่เมืองออกแก้ว (Oc-EO) เมืองท่าของฟูนานที่เรือต่าง ๆ ผ่านมาต้องแวะด้วย เมืองออกแก้วเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตเพิ่มขึ้นในดินแดน เพื่อสนองความต้องการสินค้าของคนที่แวะมาเมืองท่า และการชลประทานในฟูนันก็เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกทำให้ฟูนันขยายตัวเป็นรัฐ ขึ้นมา และเป็นรัฐแรกในภูมิภาคนี้ ส่วนเรื่องการเข้ามาของชาวอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะเริ่มที่พ่อค้าเข้ามาก่อน โดยมาติดต่อกับผู้ปกครอง แล้วพราหมณ์จึงตามเข้ามาทีหลัง และไม่เชื่อว่า ฟูนานจะกว้างใหญ่ถึงขนาดเป็นอาณาจักร (Kingdom) ได้แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในการใช้คำศัพท์ ทั้งนี้ เพราะส่วนใหญ่ข้อมูลได้มาจากจีน จีนมองดูบ้านเมืองในแถบนี้ด้วยสายตาของคนจีน และนำเอาคำศัพท์ของจีนมาใช้ เช่นเดียวกับชาวตะวันตก ที่ใช้คำว่า “Kingdom” หมายถึง อาณาจักรในแนวคิด และแบบของยุโรป ซึ่งเทียบกันไม่ได้กับสภาพจริงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการศึกษาโดยละเอียด ในเนื้อหาของบันทึกหลักฐานทางโบราณคดี และสภาพแวดล้อมแล้ว ฟูนันยังไม่เหมาะที่จะใช้กับคำว่า อาณาจักรหรือจักรวรรดิได้ ฟูนันขณะนั้นเป็นเพียงการรวมเผ่าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มีหัวหน้าใหญ่ซึ่งได้มาโดยการยกย่องหัวหน้าเผ่าบางคนขึ้นมาโดยดูจากความ สามารถส่วนตัว หัวหน้าใหญ่คนนี้ก็จะมีอำนาจอยู่ในชั่วอายุของตนเองเท่านั้น เมื่อตายไปแล้วอำนาจก็สิ้นสุด ไม่ตกทอดถึงทายาท ลักษณะเช่นนี้ทำให้ศูนย์กลางของฟูนันมีการเคลื่อนตัว ไปตามเมืองที่หัวหน้า(เผ่า)ใหญ่ครอบครองเป็นหลักอยู่




การเกษตรกรรม
ความเจริญและความเสื่อม
หลักฐานของจีนกล่าวว่า ฟูนันตั้งขึ้นโดยพราหมณ์โกณธัญญะ (Kaundinya) ผู้มีอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมืองและได้แต่งงานกับนางพระยาหลิวเหย่ (Lieo-Yeh) ของแคว้นนี้ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 7 ระยะนั้นฟูนันอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ เมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ (Vyadhapura) แปลว่า เมืองของกษัตริย์นายพราน (The city of the hunter king) ชื่อของฟูนานเทียบกับภาษาเขมร คือ พนม บนม หรือภูเขา ผู้ปกครองของฟูนาน เรียกว่า กูรุง บนม (Kurung Bnam) คือ เจ้าแห่งภูเขา (King of the Mountain) วยาธปุระ อยู่ใกล้เขาบาพนม (Ba Phnom) และมีเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ คือ เมืองออกแก้ว มีแม่น้ำสายยาว 200 กิโลเมตรต่อเชื่อมเมืองท่าออกแก้วกับเมืองวยาธปุระ เนื่องจากเมืองหลวงตั้งอยู่ส่วนสูงสุดของสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำโขง ใกล้ภูเขาบาพนม ตรงที่แม่น้ำทะเลสาบไหลมารวมกัน จึงช่วยระบายน้ำในทะเลสาบไปยังพื้นที่ทางทิศตะวันตก ซึ่งช่วยในการเพาะปลูกได้ดี สถานที่ตั้งทางด้านยุทธศาสตร์ของฟูนัน ทำให้สามารถควบคุมช่องแคบเดินเรือที่เชื่อมฝั่งทะเลของอ่าวไทยเข้ากับทะเล อันดามันและเมืองท่าต่าง ๆ ของจีนทางตอนใต้ เห็นได้ชัดว่า ได้ให้ความมั่งคั่ง และอิทธิพลทางการเมืองอย่างสำคัญยิ่ง ทำให้ฟูนันมีอำนาจปกครองเหนือเมืองลังกาสุกะ (Langkasuka) มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองปัตตานี และเมืองตามพรลิงก์ (Tambralinga) มีเมืองหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราชหรือไชยา เมืองทั้งสองตั้งอยู่สองฝั่งเส้นทางเดินเรือค้าขายที่สำคัญ ฟูนันยังมีอำนาจเหนือเจนละ ซึ่งอยู่ตอนเหนือของฟูนัน ฟูนันปกครองเหนือดินแดนในอินโดจีนส่วนใหญ่อยู่นานถึงห้าศตวรรษการขนส่งภายในฟูนานใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ประชากรอาศัยอยู่ริมฝั่งน้ำ ปลูกบ้านแบบใต้ถุนสูง กีฬาที่โปรดปราน คือ การชนไก่ ชนหมู ภาษีอากรจ่ายเป็นทอง เงิน ไข่มุก น้ำหอม ฟูนานได้ติดต่อค้าขายกับตะวันตกด้วย เพราะจากการขุดค้นได้พบรากฐานของอาคารหลายแห่งที่เมืองออกแก้ว ได้พบหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างฟูนานกับตะวันตก เช่น เหรียญโรมันต่าง ๆ มีรูปจักรพรรดิโรมัน แหวนจารึกภาษาอินเดีย สมัยพุทธศตวรรษที่ 8 – 12 หินสลักรูปต่าง ๆ ที่ได้แบบมาจากกรีก
ลักษณะของวัฒนธรรม
ลักษณะของวัฒนธรรมที่เมืองออกแก้ว เป็นแบบผสมกันระหว่างวัฒนธรรมพื้นเมืองและวัฒนธรรมอินเดีย เช่น ประเพณีการบูชาภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าหญิงธิดาพญานาคของชาวฟูนัน ได้สืบทอดต่อมาเป็นธรรมเนียมที่กษัตริย์กัมพูชาทรงปฏิบัติในระยะต่อๆมา ส่วนลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นแบบวัฒนธรรมอินเดีย ได้แก่ โบราณสถาน(ในแถบประเทศกัมพูชาปัจจุบัน)สมัยก่อนนครวัด นอกจากนั้น มีพระพุทธรูปแบบคุปตะ ภาพปั้นพระวิษณุสวมมาลาทรงกระบอก และภาพปั้นพระหริหระ ล้วนแสดงให้เห็นว่า ประติมากรชาวฟูนันได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมจากอินเดียสมัยราชวงศ์ปาลวะ และราชวงศ์คุปตะ ทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู มีภาษาสันสกฤต ซึ่งเห็นได้จากบันทึกของชาวฟูนานที่บันทึกไว้คราวมีงานเฉลิมฉลองรัชกาลพระ เจ้าโกณธิญญะที่ 2 (สวรรคต พ.ศ. 977) และรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ พ.ศ. 1021 – 1057) ที่มีประเพณีการจัดงานต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียแล้ว ยังปรากฏคำลงท้ายพระนามกษัตริย์ฟูนันว่า “วรมัน” ภาษาสันสกฤต แปลว่า “ผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์” ทั้งนี้เพราะพระเจ้าโกณธิญญะนั้นเดิมท่านไม่ได้เกิดมาในวรรณะกษัตริย์ หากเป็นเพียงผู้เกิดมาในวรรณะพราหมมณ์ ที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของวรรณะกษัตริย์จากอินเดียอีกต่อหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียที่มีต่อรัฐฟูนัน ฟูนันมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ดังนั้น เรื่องราวของฟูนันจึงปรากฏในบันทึกของจีน ที่กล่าวไว้ว่า เมืองต่าง ๆ ในฟูนันมีกำแพงล้อมรอบ มีปราสาทราชวัง และบ้านเรือนราษฎรชาวฟูนานมีผิวดำ ผมหยิก เดินเท้าเปล่า ทำการเพาะปลูก ชอบการแกะสลักเครื่องประดับเครื่องประดับ การสลักหิน มีตัวอักษรใช้ลักษณะคล้ายกับอักษรของพวก “ฮู้” (อยู่ในเอเชียตอนกลาง ใช้อักษรแบบอินเดีย) มีทาสเชลยศึก มีการค้าทองคำ ค้าเงิน ค้าไหน ทำแหวน สร้อยมือทองคำ ถ้วยชามเงิน การพิจารณาคดีความใช้แบบจารีตนครบาล เช่น ล้วงหยิบ แหวนทองเหลือง หรือไข่ในน้ำเดือด ใช้โซ่ร้อนจัดคล้องมือ แล้วเดินไป 7 ก้าว หรือดำน้ำพิสูจน์ เป็นต้น มีแหล่งน้ำใช้ร่วมกัน มีการทดน้ำ เพื่อการเพาะปลูก สถาปัตยกรรมเป็นแบบหลังคา เป็นชั้นเล็ก ๆ จำนวนมาก ตกแต่งด้วยช่องเล็กช่องน้อยครอบอยู่จากบันทึกของชาวจีน
เรื่องราวของฟูนันได้ทราบจากบันทึกของชาวจีนชื่อ คังไถ่ ซึ่งเดินทางมากับคณะทูตจีน ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกนำมากล่าวอ้างอิงกันมากแต่ปัจจุบันได้มีนัก วิชาการนำบันทึกของคังไถ่มาวิเคราะห์กันใหม่ และได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านข้อมูลเกี่ยวกับฟูนัน โดยยกเหตุผลมาสนับสนุนข้อคัดค้านของตน ดังได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องพัฒนาการของสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐ และยังมีอีกหลายประเด็นที่ เคนเนธ อาร์.ฮอลล์ กล่าวไว้รวมทั้งตำนานเกี่ยวกับการเข้ามาตั้งฟูนัน โดยพราหมณ์โกณธิญญะมาแต่งงานกับนางพระยาหลิวเหย่ว่าเป็นเรื่องของการใช้ตำนานเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์น่ายินดีและเพื่อสถานภาพของกษัตริย์ ความเห็นนี้ตรงกับ มิสตัน ออสบอร์น ที่กล่าวว่า “เรื่องดังกล่าวเป็นตำนานเล่ากันมา เป็นการบิดเบือน เพื่อหวังผลทางปฏิบัติอย่างสูง สำหรับคนระดับที่เป็นผู้ปกครองของรัฐนี้” ฟูนานรับวัฒนธรรมอินเดียทั้ง รูปแบบการปกครอง สังคม วัฒนธรรม อิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย มีอยู่มากในชนระดับสูง ส่วนชาวบ้านทั่วไปยังยึดมั่นในขนบประเพณีสังคมดั้งเดิมของตนอยู่ ฟูนันมีลักษณะเป็นรัฐชลประทาน มีการชลประทานเพื่อปลูกข้าว โดยการขุดคูคลองทำนบกักเก็บน้ำ แล้วระบายไปยังไร่นาต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ก็มีเมืองท่าชื่อเมืองออกแก้ว เป็นแหล่งนำรายได้ผลประโยชน์มาสู่รัฐอีกทางหนึ่ง นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ด้วย อีกหลักฐานหนึ่งคือตามหลักฐานจีนจากบันทึกของภิษุอี้จิง นักธรรมจาริกชาวจีนซึ่งได้เดินทางโดยทางเรือเพื่อไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ ประเทศอินเดียในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 13 และได้ผ่านบ้านเมืองหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าพราหมณ์ชาวอินเดียได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานและแต่งงานกับชนพื้นเมืองที่ เป็นเจ้าหญิงสร้างอาณาจักรฟูนันขึ้นปกครองโดยรับอารยธรรมอินเดียไว้อย่าง แน่นแฟ้น เช่น การปกครองแบบเทวราชา เป็นต้น อาณาจักรฟูนันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่อารยธรรมอินเดียแผ่กระจายไปทั่วเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ฟูนานยั่งยืนมาถึงพุทธศตวรรษที่ 12 หลังจากนั้นชื่อของฟูนันได้หายไป มีชื่ออื่นๆเข้ามาแทนที่ในบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน สันนิษฐานว่า เพราะฟูนันพ่ายแพ้ต่อรัฐเจนละ จึงตกอยู่ใต้การปกครองของรัฐเจนละ สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ หรือความเสื่อมสลายนี้ มิได้มีหลักฐานแน่ชัด จากพงศาวดารราชวงศ์ถัง ซึ่งคณะทูตชาวจีนที่เดินทางไปยังดินแดนแถบฟูนาน ในต้นพุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวเพียงว่า ได้พ่ายแพ้แก่พวกเจนละ กษัตริย์ฟูนานต้องหนีไปทางใต้ ฟูนันเป็นรัฐที่เรืองอำนาจแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถรักษาเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ เป็นที่ระลึกแก่คนรุ่นหลัง เห็นได้จากเหตุการณ์หลังจากที่รัฐเจนละเข้าครอบครองฟูนานแล้ว กษัตริย์ของเจนละทุกพระองค์ได้รับเอาเรื่องราวของราชวงศ์ฟูนันเป็นของตนด้วย และสมัยต่อมา คือ สมัยนครวัด กษัตริย์ทุกพระองค์ที่นครวัดถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์แห่งเมืองวยาธปุระทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่า รัฐฟูนันน่าจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยแพร่ขยายอารยธรรมอินเดียในอินโดจีน และเป็นรัฐที่เป็นรากฐานของหลายประทศในแถบลุ่ม่น้ำโขง และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน ส่วนดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงบริเวณทางตอนใต้ที่เป็นราชอาณาจักรไทยปัจจุบันยังคงมีพัฒนาการต่อเนื่อง โดยมีชื่อของอาณาจักรทวาราวดีเข้ามาแทนที่ฟูนันสืบต่อมา
เรียบเรียง โดย ดร.วีรพันธ์ พรหมมนตรี
แหล่งอ้างอิง
http://www.siamrecorder.com/h/19.htm
http://www.baanmaha.com/community/thread33159.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น